Customer Reviews

สุขใกล้ๆที่ไม่เคยเห็น
5
เป็นหนังสือที่ดีมากๆเลยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 08 กันยายน พ.ศ. 2557

ธรรมะก็เหมือนกับอากาศที่เราหายใจ หมายความว่าเราทุกคนต่างก็รับรู้ถึงคุณค่าอันมหาศาลของอากาศที่มีต่อชีวิต ไม่มีมันเราก็อยู่ไม่ได้ แต่แม้เราทุกคนจะรับรู้ถึงความสำคัญ แต่เราก็ไม่เคยมองเห็นอากาศ ไม่เคยมองเห็นว่ามันมีตัวตน ทั้งๆที่อากาศเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดเรา อยู่รอบตัวเรา และเราก็หายใจเข้าออกมันทุกวัน บางทีการได้มีโอกาสกลับมามองเห็นสิ่งที่มีคุณค่าใกล้ตัวแล้วใช้เวลาครุ่นคิดกับมันก็อาจทำให้เราสามารถเข้าใจโลกเข้าใจสัจธรรมอะไรบางอย่างของชีวิตได้มากขึ้น ถือเป็นการค้นหาประโยชน์จากของใกล้ตัวก็ว่าได้ คนเราเวลามีเรื่องทุกข์ใจหรือมีอารมณ์ขุ่นมัวด้วยเรื่องต่างๆก็มักจะวิ่งเข้าหาธรรมะ เมื่อพูดถึงธรรมะก็คงหนีไม่พ้นวัด ไม่พ้นพระ อีกตามเคย เราเข้าวัดเพื่อไปหาธรรมะจริงๆหรือ หรือเราเข้าไปเพื่อประกอบพิธีกรรมอะไรบางอย่างเพียงเพื่อตอบสนองความเชื่อหรือความรู้สึกว่านี่คือการใช้ธรรมะคลายทุกข์แล้ว เรามักชอบที่จะบอกตัวเองว่าอย่าคิดอะไรมากเลย เข้าวัดทำบุญ ขอแค่ทำแล้วสบายใจก็พอแล้ว แบบนี้เองธรรมะเลยกลายเป็นสิ่งซึ่งแปลกแยกออกไปจากวิถีชีวิตปกติของเรา กลายเป็นสิ่งที่หาได้จากพระหรือวัดเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย สุขใกล้ๆที่ไม่เคยเห็นจึงเป็นหนังสือที่จะช่วยกระตุ้นเตือนให้เราหันกลับมามองธรรมะและวิธีการสร้างความสุขใหม่ เป็นการยืนยันหลักการที่บอกไปว่าธรรมะเปรียบเสมือนอากาศที่เราหายใจ
ผมเข้าใจว่าคอนเซปของการเรียนการสอนธรรมะแนวใหม่หรือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่มีอยู่สามข้อก็คือเร็ว ง่าย และใกล้ตัว ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็ใช้หลักการที่ว่านี้เหมือนกัน เร็ว ก็หมายความว่า จะเรียกว่าวิธีการบรรยายธรรมก็ได้ ตามที่ได้ใช้ในหนังสือเล่มนี้เน้นการสื่อสารที่สั้น กระชับ ตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ เป็นการสื่อสารที่เน้นความเป็นเหตุเป็นผลตามหลักการแบบพุทธ ที่เราสามารถคิดตามด้วยสติปัญญาได้ ง่าย ก็หมายความว่า ด้วยภาษาที่ใช้ในการถ่ายทอด ด้วยเรื่องราวที่นำมาเขียนไว้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่คนส่วนใหญ่กลับคิดไม่ได้หรือคิดได้แต่ไม่ยอมทำ ใกล้ตัว ก็หมายความว่า ผู้เขียนหยิบยกเอาเหตุการณ์ สถานการณ์ รวมทั้งสิ่งของที่เราส่วนใหญ่ใช้ในชีวิตประจำวันมาเขียน แล้วดึงเอาแง่มุมทางธรรมหรือ ดึงเอาแง่คิดต่างๆที่เป็นประโยชน์จากสิ่งรอบตัวเหล่านั้นออกมาถ่ายทอด ยกตัวอย่างเช่น เรื่องสมาร์ทโฟน เรื่องฝนตก รถติด เพลง ละคร ฟุตบอล ฯลฯ ในแง่นี้ผมจึงรู้สึกว่าเป็นการเปลี่ยนทัศนคติในการมองธรรมะจากเรื่องยากๆไกลตัว มาเป็นเรื่องง่ายๆใกล้ตัว ทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น อ่านแล้วนึกภาพตามได้ แล้วที่สำคัญคือให้ความรู้สึกว่าสามารถเอาข้อคิดที่ได้ไปใช้ได้จริง ซึ่งนี่แหละคือจุดมุ่งหมายของการอ่านหนังสือประเภทนี้
4
เรียนรู้ ทุกข์ได้ สุขเป็นกำไร
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เคยมีคำกล่าวว่าในโลกนี้ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ที่พอทนได้ คอนเซปของหนังสือเล่มนี้จริงๆแล้วอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นหนังสือสอนให้เรารู้จักมองโลกในแง่ดี ค้นหาแง่มุมด้านบวกจากปัญหาหรือเรื่องเลวร้ายนั่นเองเพราะทุกข์เป็นธรรมขาติของมนุษย์หรือธรรมชาติของชีวิต ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ทุกข์ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การเสาะแสวงหาวิธีการดับทุกข์นั้นอาจดูเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ ยิ่งถ้าเราเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในโลกที่มีแต่ความวุ่นวาย แก่งแย่งแข่งขันด้วยแล้ว การเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ให้เป็น บริหารกายบริหารจิตใจและความคิดของตนเองได้ น่าจะเป็นแนวทางที่เป็นรูปธรรมมากกว่าในการรับมือกับความทุกข์ ในแง่นี้เราจึงต้องอาศัยการหมั่นควบคุมตรวจสอบสติปัญญาของตัวเองอยู่เสมอเพื่อให้รู้เท่าทันทุกข์ ซึ่งท่านอาจารย์ใช้คำว่ายามใดที่เป็นทุกข์ให้มองดูความทุกข์อย่างมีสติ อย่างแยบคาย อย่างเป็นผู้ดูไม่ได้เป็นผู้เป็น ความทุกข์ก็จะทอประกายแสงแห่งความสุขออกมาให้เห็น นอกจากนี้ยังต้องอาศัยความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความทุกข์สารพัดรูปแบบด้วย ไม่ใช่คอยแต่จะวิ่งหนีเพราะเมื่อใดที่คุณวิ่งหนีทุกข์คุณจะไม่มีวันได้เรียนรู้ความทุกข์ใดๆ เลย
ในภาคที่ 1 ของหนังสือเล่มนี้จะเป็นการอธิบายเรื่องทัศนคติหรือมุมมองในการมองความทุกข์เมื่อมันมาเยือน เช่น การใช้สติ การรู้จักพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส การมองเห็นความดีในคำด่า การรู้จักเรียนรู้จากความเจ็บป่วย เป็นต้น
ในภาคที่ 2 จะเป็นการอธิบายเรื่องกรรมซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ การจะแก้ทุกข์ต้องแก้ที่กรรม แต่การแก้กรรมในที่นี้ไม่ใช่การแก้กรรมที่เข้าใจกันโดยทั่วไป กรรมคือการกระทำอะไรก็ตามที่ประกอบด้วยเจตนา กรรมนี้มันจะสั่งสมอยู่ในภวังค์จิตใต้สำนึก ดังนั้นไม่ว่าเราจะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนรถ หรือเปลี่ยนฮวงจุ้ย กรรมมันก็ไม่เปลี่ยน มันยังคงฝังลึกอยู่ใต้จิตสำนึกของเราหากจะเปลี่ยนกรรมต้องเปลี่ยนที่ตัวเจตนา
ในภาคที่ 3 ร้อนนอกดับด้วยน้ำเย็น ร้อนในดับด้วยธรรม หมายถึงการใช้ธรรมะดับอารมณ์หรือจิตใจหรือจิตใจที่มันครุกรุ่นเต็มไปด้วยกิเลศตัณหาต่างๆ นั่นเอง ได้แก่ อย่าเป็นนักจับผิด อย่ามัวแต่คิดริษยา อย่าเสียเวลากับความหลัง อย่าฟังเสียงบาปมิตร ในส่วนนี้คิดว่ายังขาดความคมคายในเชิงเนื้อหาทางธรรมอยู่
ในภาคที่ 4 เป็นการเปรียบเทียบความสุขต่างที่มากัน ได้แก่ สุขจากการสัมผัส สุขจากการบำเพ็ญสมาธิ และสุขจากความสงบของกิเลศ
อ่านแล้วประทับใจภาค 2 มากที่สุดเพราะได้อรรถรสทางธรรมและความสวยงามทางภาษา ในภาคอื่นยังดูธรรมดาเกินไป ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะความเข้มข้นของเรื่องที่นำเสนอด้วยเลยทำให้ธรรมะที่หยิบยกมาสอนดูธรรมดาแต่ก็มีข้อดีตรงที่เมื่อเป็นเรื่องธรรมดาก็ย่อมเข้าใจง่าย นำไปปฏิบัติได้ง่าย
4
ความดี ความงาม ความสามารถ
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สังคมยุคใหม่เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันในเรื่องเรียน การแข่งขันกันในเรื่องงาน ความสำเร็จของมนุษย์ยุคใหม่อยู่ที่ใครสามารถก้าวขึ้นมาเป็นที่หนึ่งเหนือคนอื่นได้ ในเรื่องเรียนเราต้องเป็นที่หนึ่ง สอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง จบเกียรตินิยม ในเรื่องงานเราต้องเข้าทำงานในบริษัทอันดับหนึ่ง ต้องได้เป็นเจ้าคนนายคน ค่านิยมแบบนี้หล่อหลอมให้เรามองความสำเร็จกันที่ว่าใครสามารถอยู่เหนือคนอื่นได้หรือไม่ และเราต่างพยายามก้าวไปสู่จุดนั้น แม้เราจะเคยได้ยินกันบ่อยครั้งว่าความรู้ ความสามารถต้องมาคู่กับคุณธรรม แต่เราก็ยังให้คุณค่ากับความรู้ความสามารถมากกว่าความดีงามของคนๆนั้น คนดีอาจได้รับคำชื่นชม และรางวัลเกียรติยศ แต่มันก็แค่นั้น เราไม่สามารถต่อยอดความดีงามไปสู่ความสำเร็จ ไปสู่การเปลี่ยนแปลงค่านิยมแบบเดิมๆได้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากจะโทษว่าใครหรืออะไรที่เป็นตัวการที่ทำให้เราให้คุณค่าของคนกับเรื่องความรู้ความสามารถมากกว่าความดีงาม เราคงโทษได้ว่านี่คือผลพวงของระบบทุนนิยม ที่เงินเป็นเสมือนพระเจ้า
แต่ท่ามกลางกระแสทุนนิยม เราคงยังพอมองเห็นคนที่สามารถใช้ความดีงามควบคู่ไปกับความสามารถของเขาเพื่อจรรโลงสังคมให้ดีขึ้นอยู่หลายต่อหลายคน หนังสือเล่มนี้จึงได้พยายามจะบอกให้ผู้อ่านเห็นว่า คุณค่าที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์นั้นมิได้อยู่แค่เพียงความรู้ความสามารถเท่านั้น แต่ต้องเป็นความรู้ความสามารถที่มีคุณธรรม จริยธรรมกำกับอยู่ด้วย จึงจะเป็นคุณค่าที่สมบูรณ์
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมวิธีคิด ทัศนคติต่างๆเกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งผู้เขียนคือคุณประสาร มฤคพิทักษ์ ได้เคยเขียนไว้ในคอลัมน์ วิธีคิด วิธีทำงาน ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ รวมทั้งคอลัมน์ที่เขียนไว้ในหนังสือนิตยสารอีกหลายเล่ม เป็นมุมมองเกี่ยวกับการทำงานในอีกด้านหนึ่ง เป็นด้านที่ไม่ไดเชิดชูแต่ความสำเร็จของคน แต่เป็นด้านที่ต้องการเน้นย้ำให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของการทำงานที่ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆรอบด้าน มิใช่แค่ความสำเร็จของคนหรือกำไรสูงสุดขององค์กรเท่านั้น หลายเรื่องเป็นการแนะนำวิธีคิดง่ายๆในการทำงานเช่นการรู้จักเสียสละ การมีความมานะพยายาม การรู้จักเจรจา เป็นต้น แต่ก็มีอีกหลายเรื่องมี่ผมคิดว่าเป็นการนำเสนอวิธีคิดที่สวนกระแสและท้าท้าย ยกตัวอย่างเช่น หัวข้อเรื่องขาดทุนท่ามกลางคุณธรรม การเตือนตัวเองว่าไม่จำเป็นต้องเอาชนะไปซะทุกเรื่องก็ได้ การตั้งคำถามกับคำสั่งของเจ้านายว่าเป็นคำสั่งที่ชอบธรรม ควรปฏิบัติตามหรือไม่ เป็นต้น โดยภาพรวมเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เน้นข้อคิดและวิธีการจัดการกับปัญหาการทำงานที่เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ ซึ่งผู้เขียนได้ประสพมาทั้งด้วยตัวเองและจากคนรอบข้างที่เคยร่วมงานด้วย เป็นหนังสือที่เหมาะกับทั้งเจ้านายและลูกน้องที่จะอ่านเพื่อสร้างทัศนคติใหม่ที่ดีต่อกัน
4
คิดแง่บวก
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การมองโลกในแง่ร้ายทำให้เรามีภูมิคุ้มกันหรือเกราะคุ้มกันตัวเองจากภัยอันตรายและความไม่ดีไม่งามทั้งหลาย ส่วนการมองโลกในแง่ดีก็เหมือนกับการสร้างกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไปท่ามกลางภยันตรายและความไม่ดีไม่งามทั้งหลายเหล่านั้น พูดง่ายๆก็คือการมองโลกในแง่ดีก็แสดงให้เห็นว่าเรายังมีความหวังในเรื่องนั้นๆอยู่
การคิดบวกตามความกชหมายของหนังสือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดความเครียดและปัญหาที่รุมเร้าตัวเราอยู่ หลักการในภาพรวมของหนังสือเล่มนี้ในการที่จะบรรลุจุดประสงค์ดังกล่าวก็คือ เราจะต้องมีความกล้าที่จะเผชิญปัญหาก่อนเป็นอันดับแรก ไม่วิ่งหนีปัญหาไปไหนออเมื่อกล้าที่จะเผชิญปัญหาแล้ว ก็ค้นเข้าไปหาต้นตอของปัญหานั้น แล้วพยายามมองหาจุดดีของมันเพื่อดึงออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่มองว่าปัญหาคือสิ่งที่จะมาทับถมเราให้จมอยู่กับความทุกข์ ตรงนี้เองที่เป็นการคิดแง่บวก พูดง่ายๆก็คือการเผชิญปัญหาด้วยความหวังนั่นเอง
เมื่อพูดถึงลักษณะของการคิดแง่บวกแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการลองดูตัวอย่างวิธีปรับมุมมองหรือทัศนคติในการมองปัญหาแบบคนคิดแง่บวกกัน เช่น
แง่ลบ : ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แต่จะพักก็ไม่ได้เพราะต้องล้างจานอีก
แง่บวก : ฉันเป็นคนกำหนดทุกอย่าง ฉันเลือกได้ว่าอยากจะล้างจานเมื่อไหร่ ตอนนี้ฉันเหนื่อย ดังนั้นฉันควรพักก่อน
มาถึงตรงนี้จะเห็นว่าหนังสือเล่มนี้อ่านเข้าใจง่ายดี แถมมีตัวอย่างประกอบด้วย
สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้คือ การยกตัวอย่างบุคลิกภาพของคนประเภทต่างๆมาอธิบาย เช่น บุคลิกภาพของชายชาตรี บุคลิกภาพของคนหน้าไหว้หลังหลอก เป็นต้น
เนื้อหาส่วนถัดมาจะเป็นการพูดถึงลักษณะของปัญหาต่างๆที่คุณอาจต้องพบเจอ โดยจะเริ่มจากการพูดถึงลักษณะของปัญหาก่อน แล้วตามด้วยหลักการที่เป็นทฤษฎี แล้วปิดท้ายด้วยบทพูดที่เป็นตัวอย่างในการนำทฤษฎีไปปรับใช้ ในแง่ของปัญหาไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่ความน่าสนใจอยู่ที่หลักการและทฤษฎี
เน้อหาส่วนสุดท้ายจะพูดถึงเรื่องการสะกดจิต การทดลองทำจริงและผลจากการักษา รวมทั้งการใช้การสร้างจินตนาการในการรักษาความเจ็บป่วย ตัวอย่างที่น่าสนใจสำหรับผม ก็คือ ผู้ป่วยคนหนึ่งเป็นคนไม่กล้าทำอะไร เมื่อเกิดปัญหา เขาจะละทิ้งโครงการที่คิดจะทำไปทันที ผลที่ตามมาคือเขารู้สึกเสียใจและโกรธตัวเอง ในการสร้างจินตนาการนั้น ผู้เขียนให้จินตนาการถึงภูเขาสูงใหญ่ตรงหน้าที่ต้องปีนขึ้นไป ผู้ป่วยคนนั้นเห็นความสูงชันก็เตรียมล้มเลิกความตั้งใจ ผู้เขียนกระตุ้นให้เขาหาเครื่องมือมาช่วยปีน ที่สุดเขาพบรองเท้าปีนเขา เขาค่อยๆปีนขึ้นไปอย่างช้าๆ จนเหนื่อยและตัดสินใจว่าไม่ไหวแล้ว ผู้เขียนถามว่ามีใครพอจะช่วยเขาได้มั้ย เขารีบตอบกลับมาว่ามีคนโยนเชือกลงมาช่วย จนในที่สุดเขาสามารถปีนจนถึงยอดเขา หลังจากรักษาด้วยวิธีนี้หลายครั้ง ผู้ป่วยคนนี้ได้ตัดสินใจเข้าสอบ หลังจากผัดวันประกันพรุ่งมานานเต็มที ในที่สวุดเขาสอบผ่านและได้งานใหม่แล้ว
4
คู่มือหาเพื่อนแท้หรือคนรู้ใจและสร้างสัมพันธ์ให้ยืนยาว
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พ่อแม่ แฟน สามีภรรยา ลูก เพื่อน ญาติพี่น้อง คือบุคคลรอบกายที่มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนต้องมี แต่ถ้าเราลองมองลึกลงไปว่าในบรรดาบุคคลเหล่านั้นใครสำคัญกับเรามากที่สุด หลายคนคงตอบว่าพ่อแม่สำคัญที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้องถ้าเรามองในเชิงความสัมพันธ์หรือความเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่กระนั้นก็ตามเราจะเห็นว่าในความเป็นพ่อแม่นั้นก็มีอีกสถานะหนึ่งที่ซ่อนอยู่นั่นคือ เพื่อน ซึ่งหมายถึงเพื่อนในความหมายอย่างกว้างหรือที่เรียกว่าเพื่อนรู้ใจนั่นเอง อย่างที่บอกไปว่าพ่อแม่ก็คือเพื่อนรู้ใจคนแรกของเรา แต่แน่นอนว่าเราต้องมีเพื่อนรู้ใจมากกว่านี้ไม่ใช่แค่พ่อแม่เท่านั้น ซึ่งเราอาจเรียกคนเหล่านั้นว่าแฟน คนรัก สามีภรรยา เพื่อนสนิท เพื่อนตาย ฯลฯ ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนต้องการเพื่อนรู้ใจ หรืออาจจะเรียกว่าต้องการใครซักคนที่จะอยู่ข้างๆเราได้เสมอทั้งในยามทุกข์และยามสุข เป็นคนที่พร้อมจะเกื้อกูลดูแลซึ่งกันและกัน ให้กำลังใจในยามที่เราทุกข์และดีใจร่วมกับเราในยามที่เราสุข
เราจะเห็นได้ว่าเพื่อนนั้นมีความสำคัญมากกับชีวิตของเรา แต่อย่างไรก็ตามเราต่างรู้ดีว่า เพื่อนรู้ใจนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะหากันง่ายๆ อาจพูดได้ว่าการหาเพื่อนที่เราไว้ใจได้นั้นยากกว่าการหาเงินซะอีก และต่อให้เรามีเงินมากเท่าไหร่ก็หาซื้อความไว้วางใจแบบนี้ไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามการมีเงินมากอาจทำให้เราไว้ใจคนอื่นได้น้อยลงด้วยซ้ำ ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงเพื่อหาเพื่อนในแบบที่ว่านี้ได้ ผู้อ่านสามารถหาคำตอบได้จากหนังสือเล่มนี้ โดยก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าการหาเพื่อนนั้นเป็นศิลปะ เมื่อเป็นศิลปะก็หมายความว่าต้องอาศัยการหมั่นฝึกฝน ทำซ้ำเรื่อยๆ จนเกิดเป็นทักษะในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าผู้อ่านสามารถฝึกวิทยายุทธ์ของตัวเองได้ตามวิธีการที่เขียนไว้หนังสือเล่มนี้ แต่นอกจากวิธีการดังกล่าวแล้วภายในเล่มยังมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับความสำคัญของการมีเพื่อน การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น กฎการคบเพื่อน สิ่งที่สร้างเสริมหรือบั่นทอนมิตรภาพ การรักษามิตรภาพให้ยั่งยืนนาน และการทำใจเมื่อเพื่อนได้จากไป ในส่วนของวิธีการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้นจะเน้นไปที่การสอนวิธีการพูดและการทำตัวให้น่าประทับใจเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่นจะทำอย่างไรให้คุยเป็น ผู้เขียนได้แนะนำว่า ประการแรกให้เรามีสติอยู่กับตัวเอง ไม่ต้องกลัวว่าเราจะพูดอะไรที่เชยๆหรือไม่ฉลาดออกไป ประการที่สอง จับจุดให้ได้ว่าคู่สนทนาสนใจอะไร ประการที่สามคือพยายามหาความสนใจร่วมกัน ประการที่สี่แนะนำตัวเองให้คู่สนทนารู้จักเราบ้าง และประการที่ห้าคือต้องรู้จักเปลี่ยนหัวข้อสนทนา โดยสรุปคือหนังสือเล่มนี้จะสอนให้คุณกล้า เป็นตัวของตัวเอง จริงใจ ใส่ใจผู้อื่น และมีทัศนคติที่ดีกับตัวเองว่าเราสามารถเป็นคนที่ใครๆก็อยากเป็นเพื่อน
5
ธรรมะติดปีก
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ธรรมชาติของคนไทยนั้นต้องการอะไรที่ง่ายๆ สบายๆ ดังนั้นหากพูดถึงธรรมะซึ่งโดยความรับรู้ของคนส่วนใหญ่แล้วมักเข้าใจว่าเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนน่าเบื่อ คนไทยก็มักจะไม่อยากเข้าใกล้ ทั้งๆ ที่ 99.99% ประกาศตัวว่าเป็นพุทธศาสนิกชน นับถือพุทธศาสนา ดังนั้นการจะทำให้พุทธศาสนิกชนคนไทยหันเข้าหาธรรมะมากขึ้นก็ต้องทำให้ธรรมะสอดคล้องต้องกันกับธรรมชาติหรือนิสัยของคนไทย นั่นหมายความว่าในแง่ของเรื่องราวที่จะนำเสนอต้องเป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจยาก น่าเบื่อ แต่จะต้องเป็นเรื่องเบาๆ ย่อยง่าย และใกล้ตัว ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือท่านอาจารย์ ว.วชิรเมธี มองเห็นข้อบกพร่องดังกล่าว จึงได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อแก้ไขรูปแบบและเนื้อหาการนำเสนอธรรมะแบบเดิมๆ โดยใช้วิธีการนำเสนอที่กระชับตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ ใช้ภาษาธรรมดาๆ ที่ไม่เป็นทางการมากจนเกินไป ทั้งนี้เพื่อนำธรรมะให้มาอยู่ใกล้ตัวกับเรามากขึ้น แม้จะใช้ภาษาธรรมดาๆ แต่ความเฉียบคมในเนื้อหาทางธรรมของท่านอาจารย์ก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสองภาคหลัก คือ
ภาค 1 เกร็ดธรรมะจากพระแท้ เนื้อหาส่วนนี้จะเป็นการนำเสนอเกร็ดธรรมะโดยท่านอาจารย์ได้อธิบายไว้ว่า การนำเสนอธรรมะในรูปแบบของเกร็ดธรรมะนั้นเป็นวิธีการสอนธรรมะที่ทำให้ผู้อ่านได้รับทั้งความรู้และความสนุกสนานไปพร้อมๆ กัน ท่านอาจารย์ได้เล่าเรื่องที่ท่านได้ประสบพบเจอมากับตัวเองหรือได้ยินมาจากคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องราวของพระที่ได้รับยกย่องว่าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตัวอย่างเกร็ดธรรมะที่น่าสนใจก็เช่น เรื่องเกียรติของผู้ใหญ่ที่แท้ ท่านอาจารย์เล่าเรื่องราวของในหลวงรัชกาลที่ 4 สมัยที่พระองค์ทรงผนวชว่า พระองค์เป็นผู้ใหญ่โดยการมีคุณธรรมคือ อักโกธะ หรือความไม่โกรธ ผู้ใหญ่ที่แท้เมื่อจะโกรธก็ต้องโกรธอย่างมีเหตุผล ไม่ยึดอารมณ์ตนเป็นที่ตั้ง มีใจเปิดกว้าง ยินดีน้อมรับเอาปัญญาเขามาต่อปัญญาเราได้อย่างไม่รังเกียจเดียดฉัน เป็นต้น
ภาค 2 ยารักษาใจ เป็นการอธิบายบทสวดมนต์ โพชฌังคปริตร แบบเข้าใจง่ายมาก มีการยกเอาประวัติที่มาที่ไปตามพระไตรปิฎกมาอธิบายให้อ่าน โพชฌังคปริตรนั้น มี 7 ประการคือ สติ ธรรมวิจัย คือการวิเคราะห์ธรรมตามหลักเหตุผล วิริยะ คือความเพียร ปิติ คือความอิ่มเอมใจ ปัสสัทธิ คือความสงบผ่อนคลาย สมาธิ คือความมีจิตแน่วแน่เป็นหนึ่ง และอุเบกขา คือความวางเฉยอย่างรู้เท่าทันความเป็นจริงของโลกหรือชีวิต ผู้พัฒนาโพชฌังคปริตรทั้ง 7 ประการให้งอกงามย่อมทำให้เกิดความรู้แจ้งเปรียบเสมือนได้ยาชั้นดีในการรักษาใจ
ส่วนภาคผนวกก็จะเป็นการกล่าวถึงประวัติเพิ่มเติมของพระแต่ละรูปที่ได้อ้างอิงไว้ในภาคที่ 1

โดยสรุปแล้วสิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ เกร็ดธรรมะที่ไม่หนักเกินไปแต่คมคายชวนคิด ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ในบางเรื่อง และได้ทักษะทางภาษาในการถ่ายทอดเรื่องยากๆ ให้เข้าใจได้โดยง่าย
5
ธรรมะพารวย
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เคยมีคำกล่าวว่าการทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม ซึ่งความหมายก็คือ การทำงานนั้นเป็นการฝึกฝนตนเองอย่างหนึ่ง การฝึกฝนตนเองด้วยการทำงานนี้ก็คือการเอาชนะตนเอง เอาชนะเป้าหมายหรือความสำเร็จของงาน ซึ่งแน่นอนย่อมต้องมีอุปสรรคมากมายหลากหลาย การที่จะเอาชนะอุปสรรคต่างๆเหล่านั้นได้ก็จำเป็นจะต้องมีธรรมะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ที่พอนึกออกในเบื้องต้นก็คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ตามที่เราเคยศึกษากันมาตอนเป็นเด็กนักเรียน ดังนั้นเราจึงสามารถสรุปได้ว่า เราไม่สามารถแยกธรรมะออกจากงานหรือชีวิตประจำวันของเราได้ ธรรมะเป็นเสมือนยาดำที่แทรกอยู่ทุกหนแห่ง เพราะฉะนั้นความเชื่อเดิมๆที่เราเชื่อว่า การทำงานเพื่อก้าวไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวยนั้น เป็นเรื่องสวนทางตรงกันข้ามกับการเดินทางสายธรรมะเพื่อไปสู่ความสุข เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง เราสามารถทำงานหาเงินเลี้ยงปากท้องและในขณะเดียวกันเราก็สามารถปฏิบัติธรรมไปด้วยได้ พูดง่ายๆก็คือเงินกับธรรมะไม่ใช่ของตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อหลักการเป็นเช่นนี้ หนังสือเรื่องธรรมะพารวยจึงได้นำเสนอหลักการแบบพุทธศาสนาในการสร้างความร่ำรวยให้กับตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ร่ำรวยเงินทอง ไม่ได้สอนวิชากอบโกยให้ได้มากที่สุด แต่เป็นความร่ำรวยที่เพียบพร้อมทั้งทรัพย์สินเงินทอง และร่ำรวยคุณธรรมตามแบบฉบับของพุทธศาสนา เป็นความร่ำรวยที่ไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์และไม่เบียดเบียนคนอื่น โดยใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือ
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ถูกแบ่งออกเป็น 5 ภาค ได้แก่
ภาค 1 เปิดประตูปัญญา เนื้อหาจะเป็นการขยายความวลีที่ว่าปัญญาเป็นทรัพย์อันประเสริฐ
ภาค 2 เคล็ดลับความสุขและความสำเร็จในงาน เนื้อหาหลักก็จะเป็นการอธิบายเรื่อง ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ในรูปแบบและภาษาที่เข้าใจง่าย และเสริมด้วยปัจจัยอื่นๆในทางธรรมที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างเช่นการไม่ทำงานในลักษณะเผด็จการ การใช้คนให้ถูกกับงาน
ภาค 3 รับมือกับอุปสรรค เป็นการแนะวิธีการตั้งรับเมื่อพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นการฝึกจิตให้เบิกบาน การเตรียมตัวรับมือกับคำวิจารณ์ การรู้จักแปรเปลี่ยนคำดูถูกให้เป็นพลัง
ภาค 4 เพียงพอ ก็พอเพียง เนื้อหาก็จะเป็นการอธิบายหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทางพุทธศาสนา
ภาค 5 ความสุขที่แท้ ผมคิดว่าเนื้อหาในส่วนนี้เป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนังสือเล่มนี้เพราะเนื้อหาใน 4 ภาคแรกนั้นโดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่หาอ่านได้จากหนังสือธรรมะหรือหนังสือสร้างแรงบันดาลใจทั้งหลาย แต่ในส่วนที่ 5 นี้จะเน้นการดึงผู้อ่านกลับมาคิดว่า แท้จริงแล้วความสุขของคนเรานั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ ความสุขอาจจะไม่จำเป็นต้องอยู่บนยอดเขาสูงที่เราต้องดิ้นรนปีนไปให้ถึง แต่ความสุขอาจเป็นเรื่องง่ายๆใกล้ตัวก็ได้ เพียงแต่เราต้องรู้จักคิดพินิจพิจารณาให้เป็น
4
ธรรมะทำไม
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ทำไมประเทศไทยที่เรียกตัวเองว่าเป็นเมืองพุทธ เป็นเมืองศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลกและมีคนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา จึงยังคงเต็มไปด้วยชาวพุทธที่ยังคงหลงงมงายอยู่กับความเชื่อเดิมๆ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไร้สาระ หาที่มาที่ไปและพิสูจน์ด้วยหลักการใดๆไม่ได้เลย คนไทยเรียนพุทธศาสนาตั้งแต่เป็นเด็กเรื่อยมาจนโต แล้วก็ยังอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยพุทธศาสนาทั้งวัดวาอารามต่างๆ และที่สำคัญพุทธศาสนาได้แทรกซึมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทยเลยก็ว่าได้ แต่ทำไมในความเป็นจริงความเข้าใจของคนไทยในเรื่องธรรมะจึงยังดูห่างไกลกับสาระของมันอย่างที่ควรจะเป็น
หนังสือเล่มนี้มีจุดประสงค์ที่ต้องการให้คนไทยในฐานะชาวพุทธ เรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธได้อย่างเต็มปาก หมายความว่าเป็นชาวพุทธที่มีความรู้ความใจในศาสนาอย่างถูกต้อง เป็นชาวพุทธที่ยึดถือธรรมะของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง มากกว่าสิ่งที่ไม่เป็นสาระที่ผู้เขียนเรียกว่าเปลือก เป็นชาวพุทธจากความตั้งใจที่จะเป็นไม่ใช่เป็นชาวพุทธเพราะเกิดเป็นคนไทย เพราะวัฒนธรรม หรือสังคมรอบข้างบังคับให้เป็น
ภายใต้วิธีคิดแบบนี้ผู้เขียนเลยเลือกที่จะใช้วิธีการนำเสนอแบบถามตอบ หรือ ปุจฉา วิสัชนา เหตุผลก็คือวิธีการถามตอบแบนี้สะท้อนให้เห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่นับถือพุทธศาสนาที่ยังมีคำถามคาใจเกี่ยวกับบทบาทของพุทธศาสนาในปัจจุบันว่ายังคงยึดโยงอยู่กับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแค่ไหน เป็นการตั้งคำถามกับพิธีกรรม ประเพณี หรือค่านิยมหลายอย่างที่เราคนไทยปฏิบัติตามๆกันมาโดยไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นมาตั้งข้อสงสัยถึงที่มาที่ไปหรือเหตุผลที่เราต้องทำเช่นนั้น หรือแม้กระทั่งว่าเราทำไมต้องทำในสิ่งที่แม้ตัวเราเองก็มีรู้ความหมายของมันว่าทำไปเพื่ออะไร แต่เราก็ทำไปด้วยความเชื่องมงายล้วนๆ เช่นคำถามง่ายๆว่า พระสวดอะไรในงานศพ มีคนมาถามพระอาจารย์ ว.ว่าทำไมไม่แปลบทสวดมนต์เป็นภาษาไทยที่คนฟังสามารถฟังรู้เรื่อง จะได้เข้าใจบทสวดมนต์มากยิ่งขึ้น พระอาจารย์ตอบว่า การฟังสวดแม้จะไม่เข้าใจ แต่การที่เราตั้งใจฟังก็ย่อมได้สมาธิเหมือนกัน ซึ่งจัดเป็นบุญอย่างหนึ่งเรียกว่า ภาวนามัย คือบุญจากการฝึกจิต คำตอบนี้สำหรับผมผิดหวังนิดหน่อย : ) แต่ก็พอฟังได้ แต่ที่ชอบก็คืออาจารย์สรุปว่าพิธีกรรมคือสื่อที่จะนำคนเข้าสู่ธรรม ถ้าพิธีกรรมไม่เปิดโอกาสให้คนเข้าสู่ธรรมพิธีกรรมนั้นๆก็ไร้ความหมาย นอกจากเรื่องนี้ก็ยังมีคำถามที่น่าสนใจอีกหลายคำถามอย่างเช่นนั่งสมาธิทำไมต้องขวาทับซ้าย อะไรคือสิ่งที่ควรเห็นเมื่อฝึกสมาธิ ทำไมวัยรุ่นไทยถึงไม่นิยมเข้าวัด ฯลฯ เป็นหนังสือที่อ่านได้เรื่อยๆดี เพลินๆ ได้สาระแต่ไม่เครียดมากจนเกินไป
3
นิพพานได้ในทุกขณะปัจจุบัน เพื่อให้เห็นโลกตามความเป็นจริง
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การบรรลุธรรมขั้นสูงสุดหรือบรรลุนิพพานคือหัวใจของการศึกษาพระพุทธศาสนา แต่สิ่งที่เรียกว่าเป็นหัวใจหรือสิ่งสำคัญที่สุดนี้กลับเป็นสิ่งที่เข้าใจยากและอธิบายได้ยากที่สุดเลยก็ว่า ซึ่งแม้ผู้ที่อ้างตนว่าบรรลุนิพพานแล้วนั้นเมื่อมาอธิบายให้คนธรรมดาฟังก็ยังไม่สามารถอธิบายได้เข้าใจ กลายเป็นต้องพูดกันในทำนองว่า นิพพานนั้น เป็นเรื่องที่อธิบายด้วยคำพูดไม่ได้ต้องสัมผัสด้วยตนเองถึงจะเข้าใจ พาลให้คิดเปรียบเทียบไปไกลว่า ถ้าถามว่าความตายเป็นอย่างไรก็คงไม่มีใครอธิบายได้นอกจากจะลองตายเอง เมื่อเป็นแบบนี้นิพพานก็เลยเป็นเรื่องที่ถูกละเลย แล้ววางไว้บนหิ้งอยู่แบบนั้น เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าไม่มีทางที่จะเข้าถึง ไม่มีทางที่สามารถจะเข้าใจได้ในชาตินี้อะไรทำนองนั้น
หนังสือเรื่องนิพพานได้ในทุกขณะปัจจุบันเล่มนี้ จึงพยายามจะลองเปลี่ยนความคิดและความเชื่อของพุทธศาสนิกชนเกี่ยวกับนิพพานเสียใหม่ เพื่อไม่ให้นิพพานนั้นเป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวว่าอ่านแล้วทำให้สามารถเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อคำว่านิพพานได้สมเจตนาของผู้เขียนหรือไม่ ก็ขออนุญาตตอบตรงๆว่าไม่ สาเหตุก็คือ ประการแรกอุปสรรคทางภาษา เรื่องนี้เป็นปัญหามากในการเขียนหนังสือของพระ เพราะมักจะเลือกใช้ภาษาที่ไม่คุ้นเคย อ่านแล้วต้องแปลไทยเป็นไทยอีกชั้นหนึ่ง ถ้าเจตนาของผู้เขียนต้องการทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ก็คิดว่าล้มเหลวในแง่นี้ ประการที่สองคือการวางหลักเพียงสามประการในการเดินไปสู่นิพพาน ได้แก่การมีความเห็นที่ถูกต้อง การปฏิบัติที่ถูกต้อง และการมีความเข้าใจความหลุดพ้นที่ถูกต้องซึ่งแม้หลักการดังกล่าวจะเป็นสัจธรรมที่เป็นจริงและเป็นทางที่จะไปสู่นิพพานได้ แต่การอธิบายแบบกว้างๆแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เกิดความรู้สึกว่านิพพานเป็นเรื่องใกล้ตัว หมายความว่าอ่านหลักการแล้วเข้าใจความหมาย แต่ไม่รู้สึกถึงความหมายนั้น เป็นหนังสือที่เหมาะกับการอ้างอิงเป็นตำรา แต่ไม่เหมาะกับการอ่านเพื่อทำความเข้าใจให้เข้าใกล้นิพพานมากขึ้น
ในส่วนของข้อดีของหนังสือเล่มนี้ก็น่าจะเป็นส่วนของบทสรุป ที่ทำให้เราได้เห็นภาพรวมของนิพพานที่เป็นเป้าหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา ว่าเราจะเข้าถึงนิพพานได้เราต้องตื่นรู้ทั้งกายและใจ ออกจากโลกของตรรกะเหตุผล และจิตสามัญสำนึก แล้วสัมผัสกับสัจธรรมของธรรมชาติโดยตรงด้วยตนเอง ประกอบกับการฝึกปฏิบัติบำเพ็ญภาวนาเพื่อฝึกสติสัมปชัญญะของตัวเองให้จดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะ หลุดออกจากกระบวนการคิดแบบตรรกะธรรมดา แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ การฝึกฝนบ่อยๆจะทำให้เราเกิดประสบการณ์และจากประสบการณ์นั้นเองจะนำไปสู่ความเข้าใจที่แท้จริง
นิพพานระหว่างวัน
5
นิพพานระหว่างวัน
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

นิพพานคืออะไร – “ภาวะที่ปราศจากกิเลศอย่างสิ้นเชิง เป็นวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของความเป็นมนุษย์ตามคติของพุทธศานา” พระอาจารย์ได้ให้คำจำกัดความแบบง่ายของนิพพานไว้แบบนี้
นิพพานมีหลายระดับ – “นิพพานของปุถุชน นิพพานระหว่างวัน นิพพานที่ควรเอื้มให้ถึง”
ความเชื่อของพุทธศาสนิกชนโดยส่วนใหญ่ – “นิพพานเป็นเรื่องในทางอุดมคติ มีแค่ระดับเดียวคือระดับพระอรหันต์ จึงทำให้นิพพานกลายเป็นเรื่องสูงส่งเกินเอื้อม และเข้าใจว่าเป็นเรื่องเกินศักยภาพของคนธรรมดาที่จะไปถึงนิพพานได้
จากที่กล่าวมาข้างต้น ท่านอาจารย์ ว. มองว่านี่คือปัญหาใหญ่ ที่ต้องเร่งแก้ไขความเข้าใจผิดๆแบบนี้เสียใหม่บนฐานความคิดที่ว่า
1.นิพพานมีหลายระดับ
2.นิพพานไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมหรือเรื่องในอุดมคติ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
3.มนุษย์ทุกคนมีสิทธิและมีศักยภาพในการที่จะบรรลุนิพพาน
ในส่วนแรกของหนังสือเล่มนี้ได้ตอบคำถามสำคัญๆของชาวพุทธหลายคนในหลายๆเรื่องเกี่ยวกับนิพพาน เป็นต้นว่า นิพพานคืออะไร ทำไมต้องนิพพาน นิพพานระดับต่างๆมีอะไรบ้าง ซึ่งล้วนเป็นความรู้ที่น่าสนใจสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน แต่หลักใหญ่ใจความของเนื้อหาในบทแรกนี้ก็คือ การเน้นย้ำให้ผู้อ่านได้เชื่อมั่นว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพเหลือเฟือที่จะสามารถบรรลุนิพพานได้ พระอาจารย์เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า มะละกอทุกลูกมีศักยภาพที่จะกลายเป็นส้มตำ เพียงรอเข้ากระบวนการที่เหมาะสมเท่านั้น สภาวะจิตของเราก็เหมือนกัน แม้จิตของเราจะผ่องใสอยู่แล้วก็จริง แต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด ทว่าศักยภาพในการที่จะผ่องใสนั้นมีอยู่ ต้องใช้การขัดเกลาเพื่อให้ผ่องใสที่สุด
จากส่วนแรกที่กล่าวไปจึงมาสู่ส่วนที่สองของหนังสือคือ การนำเสนอวิธีการที่จะขัดเกลาจิตใจให้ไปถึงนิพพาน ซึ่งพระอาจารย์เรียกว่า นิพพานระหว่างวัน ก็คือการตามดูกาย จิต ความคิด และสิ่งต่อเนื่องอยู่ในจิตและความคิดนั้น ถ้าเราดูแล้วเราเกิดภาวะที่จิตเกิดความสดชื่น รื่นเย็น เกิดความปลอดโปร่ง ผ่องใส ก็เรียกว่าเป็นสภาวะนิพพานระหว่างวันได้แล้ว เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ ในระหว่างที่เรานั่งชื่นชมกับธรรมชาติรอบตัว เราจะรู้สึกกลืนไปกับธรรมชาติ ไม่มีตัวเขา ตัวเรา ไม่มีอดีตและอนาคต มีแต่ปัจจุบันขณะนั่นเอง ส่วนในระดับที่สูงกว่านี้ก็จะเป็นการอธิบายโดยอ้างอิงกับหลักธรรมวิชาการต่างๆ ซึ่งอ่านแล้วก็เข้าใจไม่ยาก แต่อ่านแล้วเห็นภาพมั้ยก็ยังดูคลุมเครืออยู่นิดหน่อย แต่ภาพรวมท่านอาจารย์ใช้ภาษาในการสื่อสารได้ดีเลยทีเดียว
ในภาคสุดท้าย คือการอธิบายความหมายของการบรรลุธรรม ซึ่งสามารถอธิบายได้เข้าใจง่าย เพราะพระอาจารย์ได้พูดถึงดัชนีหรือเครื่องมือในการชี้วัดผู้บรรลุธรรมถาวร สุดท้ายที่ประทับใจคือ บทสรุปที่ว่านิพพานเป็นของทุกคนไม่ใช่ของสงวนลิขสิทธิ์สำหรับพุทธศาสนา สัจธรรมมีอยู่ก่อนสิ่งสมมติที่เรียกว่าพุทธศาสนาเสียอีก
5
สุขกันเถอะโยม 2 ฉายหมู่
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หนังสือ สุขกันเถอะโยม 2 ฉายหมู่ เล่มนี้ เป็นหนังสือภาคต่อของ สุขกันเถอะโยม ภาคแรกซึ่งเป็นการเล่าเรื่องราวอัตถชีวประวัติของพระมหาสมปอง ตาลปุตโต ฉบับฉายเดี่ยว มาถึงเล่มที่ 2 นี้เลยเป็นโอกาสให้กับพระลูกทีมของอาจารย์ได้เปิดตัวกันบ้าง เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าเนื้อหาภายในเล่มส่วนหนึ่งก็จะมีประวัติของพระทุกรูปที่อยู่ในทีมธรรมะเดลิเวอรี่ของพระมหาสมปอง
เมื่อพูดถึงทีมงานธรรมะเดลิเวอรี่นั้น เริ่มต้นจากการค่ายพุทธธรรมนำชีวิต ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีมีสมาชิกแค่ 2 รูปเท่านั้นเองคือพระอาจารย์สมปองกับพระอภิรักษ์ ในสมัยนั้นท่านเองก็ยังไม่เป็นที่รู้จัก ต้องเป็นฝ่ายทำจดหมายเสนอตัวเพื่อขอไปบรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประสบการณ์ของทีมงานที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการที่ท่านเองได้พิสูจน์ฝีมือให้ทุกคนได้เห็น ก็เริ่มมีการติดต่อมาจากหลายๆฝ่ายให้ท่านและทีมงานไปบรรยายธรรม จนครั้งหนึ่งที่ได้ไปออกรายการ มันแปลกดีนะ ซึ่งทางทีมงานได้เชิญท่านไปและขอให้ท่านช่วยตั้งชื่อตอนที่จะออกอากาศให้ด้วย ท่านจึงได้ตั้งชื่อ ธรรมะเดลิเวอรี่ขึ้นมา เพราะนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องทำหนังสือเสนอตัวเพื่อขอไปบรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆนั่นเอง มาถึงปัจจุบันท่านและทีมงานธรรมะเดลิเวอรี่ ต้องรับโทรศัพท์วันละกว่า 300 สาย และมีคิวบรรยายธรรมกว่า 200 คิวต่อเดือนเลยทีเดียว จะเห็นว่าประวัติการทำงานของทีมธรรมะเดลิเวอรี่นั้น ทำให้เราได้ข้อคิดว่า คนเรานั้นต้องทำงานให้หนัก ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ ถ้าเรามีความสามารถและมีแรงจูงใจในการทำสิ่งที่เรารัก ความสำเร็จก็จะตามมาเองในที่สุด
เนื้อหาอื่นๆในหนังสือเล่มนี้หลักๆก็จะเป็นการเล่าเรื่องราว และประสบการณ์การเดินทางไปบรรยายธรรมในสถานที่ต่างๆของทีมงาน เป็นการบอกเล่าเรื่องราวสนุกสนานแฝงสาระทางธรรมที่อ่านแล้วเพลินดีเหมือนกัน ท่านอาจารย์และทีมงานเดินทางไปที่ไหน ไปพบเจออะไร ก็จะนำมาคิดวิเคราะห์แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นข้อคิดดีๆให้เราได้อ่าน บางเรื่องก็เป็นการเล่าเบื้องหลังสนุกๆของการบรรยายธรรม อย่างเรื่องแย่งมุก พระอาจารย์เล่าว่าก่อนขึ้นบรรยาย ทีมงานจะมีการประชุมแบ่งมุกกัน ซึ่งบ่อยครั้งก็จะมีการแย่งมุกกัน แกล้งกันระหว่างพระวิทยากร ทำให้พระทุกรูปที่อยู่ในทีมต้องเตรียมความพร้อมกันอย่างหนักและขยันอัพเดทมุกกันอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่ามุกไหนจะโดนแย่ง โดนฉกไปตอนไหน
หนังสือ สุขกันเถอะโยมภาค 2 เล่มนี้เป็นหนังสือที่เน้นอ่านเพลิน อ่านคลายเครียดมากกว่าที่จะเน้นเนื้อหาทางธรรมะ เป็นการเล่าเรื่องเบื้องหลังการทำงานของทีมธรรมะเดลิเวอรี่ ที่คิดว่าหลายคนที่เป็นแฟนของพระอาจารย์สมปองคงอยากรู้กัน
4
สูตรความสุข Slow life
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หากจะเปรียบเทียบชีวิตคนเมืองที่ทำงานเป็นพนักงานกินเงินเดือน ก็คงเปรียบได้กับปลาตัวเล็กๆที่ต้องว่ายอย่างสุดกำลังในกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก จะว่ายทวยน้ำก็ไม่มีกำลังมากพอ จะไม่ว่ายก็มีแต่ตายกับตาย จึงได้แต่ว่ายไปตามกระแสน้ำนั้นโดยไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเป้าหมายของตัวเองกำลังจะว่ายไปไหน ก็ได้แต่ว่ายไปเรื่อยๆเพื่อให้มีชีวิตรอดเท่านั้นเอง แม้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ปลาแต่ละตัวอาจจะโตขึ้นและว่ายน้ำเก่งขึ้น แล้ว แต่คำถามสำคัญก็คือ แล้วมันมีความหมายอะไร เพราะแม้คุณจะโตขึ้น เก่งขึ้น แต่คุณก็ต้องอยู่ในแม่น้ำสายเดิม ยังต้องอยู่ร่วมกับปลาที่ตัวเล็กกว่าและโตกว่า สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าการมีชีวิตอย่างมีเป้าหมายของตัวเองนั้นสำคัญแค่ไหน แล้วทำให้เราได้ตั้งคำถามว่า เราจะรีบว่ายน้ำไปเพื่ออะไร ปลายทางที่เราว่ายไปคือความสุขที่เราค้นหาหรือเปล่า
ถ้าเราใช้ชีวิตแบบคนส่วนใหญ่ เราก็จะมีทัศนคติว่าเราทำงานเพื่อให้ได้เงิน แล้วเอาเงินไปซื้อความสุข แต่เวลาหาเงินมีจำกัด เพราะฉะนั้นหากอยากมีความสุขมาก ก็ต้องรีบทำงานแข่งกับเวลาเพื่อสะสมเงินให้ได้มากๆ นี่เป็นทัศนคติปกติของมนุษย์ในสังคมเมือง แต่อย่างไรก็ตามเราก็ทราบดีว่า มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้คิดแบบนั้น แต่กลับมาคิดใหม่ในทิศทางตรงกันข้ามกับความคิดกระแสหลัก เราจึงได้ยินกระแสการใช้ชีวิตแบบ slow life ขึ้นมา อันที่จริงผมเชื่อว่าผู้อ่านคงพอเข้ใจอยู่แล้วว่า slow life คืออะไร แต่ยังอาจอธิบายได้ไม่ชัดเจน หรือบางคนเข้าใจ อธิบายได้ แต่ยังกลัวที่จะเดินออกมาใช้ชีวิตแบบนี้ เพราะยังเสพติดการใช้ชีวิตแบบบริโภคนิยมอย่างเดิมอยู่ คุณเล็ก ปวิตรา เกษมเนตร ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ได้ทดลองการใช้ชีวิตแบบ slow life ด้วยตนเองแล้วประสบความสำเร็จในมุมมองของเธอ จึงได้ถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเองออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้
สำหรับผู้อ่านที่สงสัยว่าคุณเล็กเป็นใคร จริงๆแล้วเธอก็เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานในแวดวงนิตยสารมานานเกือบ 20 ปี ผ่านการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ทำงานแข่งกับเวลาเพื่อหาเงินให้ได้มากที่สุด จนเริ่มล้มป่วย จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอกลับมาทบทวนความต้องการของตัวเองใหม่ ว่าเธอต้องการความสุขจากความฟุ่มเฟือยหรือต้องกาความสุขที่เรียบง่ายธรรมดาๆกันแน่ ในแง่นี้ผู้เขียนจึงเป็นตัวอย่างให้แก่คนทั่วไปได้ว่า การตัดสินใจลาออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกกังวลอะไรมากมาย เพียงแต่ต้องเริ่มจากการปรับตัวปรับใจ ปรับทัศนคติต่อการมีชีวิตเสียใหม่
ในแง่ของเนื้อหามีการอ้างอิงเรื่องธรรมะเพื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตมากพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็นหนังสือธรรมะ ยังคงมีเนื้อหาที่อ่านง่ายอยู่ เป็นการบอกเล่ากระบวนการการเรียนรู้และการปรับเปลี่ยนตัวเองไปสู่การมีชีวิตแบบ slow life ในระหว่างทางเธอได้เรียนรู้อะไรบ้าง และเมื่อไปสู่จุดหมายแล้วเธอได้ค้นพบอะไร
10 ขั้นตอนเปลี่ยนบุคลิก
3
10 ขั้นตอนเปลี่ยนบุคลิก
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าหนังสือเล่มนี้ ถ้อาอ่านจากชื่อ อาจจะเข้าใจผิดไปได้ว่า เป็นหนังสือแนะนำการเปลี่ยนบุคลิกจากแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่ง เช่นจากคนเรียบร้อยไปเป็นคนสนุกสนานเฮฮาอะไรทำนองนั้น หรืออาจจะเข้าใจว่าเป็นหนังสือสอนการพัฒนาบุคลิกภาพ จริงๆแล้วหนังสือเล่มนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนบุคลิกภาพหรือการพัฒนาบุคลิกภาพเลย 10 ขั้นตอนเปลี่ยนบุคลิกภาพในที่นี้หมายถึง 10 ขั้นตอนในการพัฒนาตนเองเพื่อเอาชนะอุปสรรคต่างๆโดยมีจุดมุ่งหมายคือความสำเร็จที่ตั้งใจไว้ ผู้เขียนใช้อีกคำหนึ่งคือ กุญแจที่ทรงอำนาจ 10 ดอก ในการปลดปล่อยและพัฒนาศักยภาพของคุณ เริ่มจาก
กุญแจดอกที่ 1 หารถม้าให้ได้ก่อนจึงค่อยหาม้า ความหมายที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อคือ ให้เราหาเป้าหมายที่เราต้องการจะเป็นก่อน แล้วค่อยลงมือทำด้วยวิธีการต่างๆเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ข้อเสียของบทแรกนี้คือภาษาค่อนข้างอ่านยาก ทำความเข้าใจให้เป็นรูปธรรมยากนิดหน่อย แต่ก็มีข้อดีตรงที่จะมีการยกคำถามมาให้เราทดลองตอบ เพื่อช่วยในการค้นหาสิ่งที่เราอยากเป็น
กุญแจดอกที่ 2 ทำใจให้สบาย บทนี้พยายามจะหาความหมายว่า การทำใจให้สบายจะส่งผลดีต่อการพัฒนาบุคลิกภาพอย่างไร แต่เนื้อหาภายในดูออกจะนอกเรื่องไปไกล สุดท้ายก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
กุญแจดอกที่ 3 หมาเห่าไม่กัด ผู้เขียนเปรียบเทียบว่า สุนัขเป็นเหมือนอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต อุปสรรคเหล่านั้นมันอาจทำให้เราตกใจ กลัว สร้างความยุ่งยากรำคาญใจให้เราบ้างเหมือนเสียงหมาเห่า แต่อุปสรรคมันไม่อาจทำร้ายเราได้ เพราะฉะนั้นอย่าได้กลัวที่จะเผชิญหน้ากับมัน
กุญแจดอกที่ 4 เข้าใจถึงโลกที่มองไม่เห็น หมายถึงเราต้องมีศรัทธาในความฝันและศักยภาพที่มีในตัวของเรา ในการที่จะเดินไปให้ถึงฝันนั้น แม้ว่าเราจะยังมองไม่เห็นก็ตาม
กุญแจดอกที่ 5 มีชีวิตอยู่เพื่อทำในสิ่งที่สำคัญที่สุด ความหมายก็ตรงตัวคือ ต้องมีความมุ่งมั่น แน่วแน่ ในสิ่งที่ตัวเองรู้ว่าสำคัญกับชีวิตตัวเองมากที่สุด
กุญแจดอกที่ 6 ชีวิตคือการเรียนรู้ ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเรียน ทั้งการเรียนในระบบและการเรียนจากประสบการณ์
กุญแจดอกที่ 7 สร้างความไว้วางใจ ผู้เขียนอธิบายถึงความสำคัญของการพูดความจริง ความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา และเทคนิควิธีต่างๆในการสร้างความไว้วางใจ
กุญแจดอกที่ 8 เลือกมีอิทธิพลแทนการควบคุม อธิบายความแตกต่างระหว่างการมีอิทธิพลกับการควบคุม ซึ่งเราสามารถสร้างอิทธิพลเหนือผู้อื่นได้จากการสร้างผลงาน
กุญแจดอกที่ 9 อำนาจของการแลกเปลี่ยน ในเวลาที่คุณกำลังให้ คุณอาจรู้สึกว่ากำลังเป็นผู้รับด้วย การให้และการรับต่างมีอิทธิพลส่งถึงกันเสมอ
กุญแจดอกที่ 10 พัฒนาจนมีหมัดเด็ด ผู้เขียนบอกว่าความรู้สึกที่จะใช้เป็นหมัดเด็ดได้คือ ความรู้สึกขอบคุณและการให้อภัย
โดยสรุปหนังสือเล่มนี้ยังมีเนื้อหาที่อ่านยาก สำนวนภาษายังไม่ดี การจัดระบบความคิดให้ผู้อ่านยังทำได้ไม่ดี ความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหากับหัวข้อยังไม่ดี เวลาอ่านจะจับใจความสำคัญของเรื่องยาก
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ในระยะหลังเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ในเรื่องเศรษฐกิจของประเทศไทยเรามักจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับโลจิสติกส์อยู่บ่อยๆ ในระดับนโยบายเราจะเห็นว่าไม่ว่าจะรัฐบาลไหนก็จะหยิบยกเอาเรื่องโลจิสติกส์นี้มาเป็นประเด็นในการหาเสียงและโยงไปถึงการลงทุนด้านนี้ด้วยงบประมาณจำนวนมหาศาล ทำให้หลายคนที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลจิสติกส์มาก่อนพาลคิดไปว่านี่คือนโยบายหนึ่งที่รัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งจะนำมาใช้ในการเป็นช่องทางกอบโกยผลประโยชน์ด้วยงบประมาณการลงทุนมหาศาลนั่นเอง แต่ถ้าเราพอมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องโลจิสติกส์อยู่บ้าง เราก็จะเห็นว่าโลจิสติกส์ของประเทศไทยยังคงล้าหลังกว่าประเทศคู่แข่งอีกหลายประเทศ ประเทศไทยขาดการพัฒนาด้านนี้มานาน ทำให้ระบบโลจิสติกส์ของเรายังย่ำอยู่กับที่และถูกเพื่อนบ้านหลายๆประเทศแซงไป ยิ่งปัจจุบันการค้าระหว่างประเทศกำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยต่อเศรษฐกิจของประเทศ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลทุกรัฐบาลจำเป็นต้องหยิบยกเรื่องเหล่านี้มาเป็นนโยบายสำคัญ
คุณสายัณห์ จันทร์วิภาสวงศ์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในนักธุรกิจผู้คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศมานานหลายสิบปี เค้าเคยทำงานให้กับองค์กรธุรกิจการค้าทั้งในและต่างประเทศ และทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เค้าได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นโดยอาศัยประสบการณ์ภาคปฏิบัติที่ได้รับมาตลอดระยะเวลาการทำงานถ่ายทอดออกมาเป็นความรู้ด้านโลจิสติกส์และความตกลงการค้าระหว่างประเทศ หรือ FTA เรียกว่าเป็นหนังสือความรู้ภาคปฏิบัติก็ได้ คือไม่ได้เป็นตำราวิชาการที่เต็มไปด้วยทฤษฎีอย่างเดียว เนื้อหาภายในเล่มจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนสำคัญคือ
ส่วนแรกว่าด้วยเรื่องโลจิสติกส์ จะเป็นการอธิบายภาพรวมของโลจิสติกส์ทั้งในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ โดยเป็นการหยิบยกเอาระบบการบริหารจัดการโลจิสติกส์ของบริษัทต่างๆมาอธิบาย เป็นการยกเอาตัวอย่างจริงมาเขียนเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพว่าเมื่อนำความรู้ทางทฤษฎีมาปรับใช้แล้วจะให้ผลดีผลเสีย หรือมีข้อติดขัดอะไรบ้างที่ต้องแก้ไข คุณจะเห็นว่าการจัดการโลจิสติกส์นั้นเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าทั้งภายในประเทศและระดับต่างประเทศ
ส่วนที่สองว่าด้วย FTA จะเป็นการนำเสนอเนื้อหาที่ว่าด้วยความตกลงการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่างๆไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เปรู และกลุ่มประเทศในเอเชียที่ไทยได้ทำความตกลงกันไว้ ความตกลงที่ว่านั้นมีรายละเอียดอย่างไร ข้อดีข้อเสียของความตกลง ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคต่างๆ
ส่วนสุดท้ายว่าด้วย จะเป็นเนื้อหาที่สัมพันธ์กันระหว่างสองส่วนแรก จะว่าด้วยเรื่องกลยุทธ์ในการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่ดีที่ประเทศไทยต้องใช้เพื่อให้สอดคล้องกับความตกลงการค้าระหว่างประเทศในแต่ละความตกลง
โดยรวมเป็นหนังสือที่อ่านง่ายดี และสามารถฉายภาพจริงของความสำคัญของระบบโลจิสติกส์ออกมาได้อย่างชัดเจน เข้าใจง่าย เป็นการเรียนจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ในสังคมที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ความยุ่งเหยิง ปัญหาที่รุมเร้าถาโถมทั้งปัญหาที่เกิดจากตัวเองและปัญหาที่เกิดจากคนหรือสังคมรอบข้าง สร้างความเครียด ความวิตกกังวล และความกดดันในชีวิตขึ้นมามากมาย การจัดการกับปัญหาดังกล่าวเหล่านั้นเป็นเรื่องที่บางครั้งก็ง่าย แต่ก็คงมีหลายปัญหาที่เราไม่สามารถจัดการกับมันได้ในระยะเวลาอันสั้นหรืออาจถึงขั้นไม่สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้นได้เลย สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคืออยู่กับมันแล้วทำเป็นไม่เห็นว่ามันมีตัวตนอยู่แค่นั้น หลายคนบอกว่าการจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวลที่ได้ผลดีที่สุดก็คือการหลีกหนีจากปัญหาเหล่านั้นไปเสีย หาเวลาไปเที่ยว ไปพักผ่อนบ้าง เพื่อหลบความวุ่นวายใจ แล้วไปเติมพลังให้กับตัวเอง กลับมาจะได้มีแรงสู้กับปัญหาใหม่อีกครั้ง แน่ใจหรือว่าวิธีการแบบนี้จะช่วยให้เราสามารถคลายเครียดได้อย่างถาวร หรือแท้จริงแล้วนี่เป็นเพียงวิธีการหนีปัญหาอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อเรากลับเข้าสู่โหมดของความเป็นจริง โหมดของการเรียนหรือการทำงานอีกครั้ง เราก็ต้องกลับมาเผชิญกับความเครียดและความวิตกกังวลเหมือนเดิม วิธีการที่ดีกว่าน่าจะเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเครียดและความวิตกกังวล แล้วเรียนรู้ที่จะจัดการมันอย่างเหมาะสมน่าจะดีกว่า
คลายเครียดใน 30 วิ เป็นหนังสือที่จะทำให้เราเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องความเครียดและความวิตกกังวล โดยจะแบ่งเนื้อหาออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนแรกว่าด้วยเรื่องของความวิตกกังวล โดยเริ่มจากการอธิบายเพื่อทำความรู้จักกับความวิตกกังวลก่อนเป็นอันดับแรก แล้วขยายไปสู่แนวทางการป้องกันและรักษาความวิตกกังวลนั้น เนื้อหาส่วนนี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจคือ การหายใจช้า เป็นกุญแจสู่การควบคุมความกังวล เวลาที่เราวิตกกังวล การหายใจเกินจะเกิดขึ้น การหายใจช้าเป็นเทคนิควิธีที่ทำให้ร่างกายกลับมาสู่สภาวะสมดุลระหว่างคาร์บอนไดออกไซด์และออกซิเจน ซึ่งจะส่งผลทำให้ความวิตกกังวลลดน้อยลง ในหนังสือจะแนะนำเทคนิควิธีในการหายใจช้าเอาไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนโดยละเอียด สามารถเอาไปทดลองทำตามได้เลย
เนื้อหาส่วนที่สองจะเป็นเรื่องความเครียด ส่วนนี้ก็จะเริ่มเรื่องด้วยการอธิบายว่าความเครียดคืออะไร เช่นเดียวกับส่วนแรก แล้วก็มีการอธิบายความเครียดประเภทต่างๆ เช่น ความเครียดในบ้าน ความเครียดที่เดจากความเหงา ความเครียดในที่ทำงาน เป็นต้น แล้วก็ปิดท้ายด้วยวิธีการต่างๆในการจัดการกับความเครียด เช่น การเปลี่ยนวิธีคิด การคิดบวก การทำสมาธิ การควบคุมความเครียดด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น การควบคุมความเครียดด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อนี้น่าสนใจดี เพราะความเครียดนั้นจะถูกสะสมอยู่ในร่างกายส่วนต่างๆ ผู้เขียนได้แนะนำเทคนิคในการบริหารกล้ามเนื้อเพื่อช่วยลดความเครียด เช่นการบริหารมือ แขน ไหล่ คอ น่อง เท้า ฯลฯ
โดยสรุปหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่ดีทั้งในแง่ของความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับความเครียดและความวิตกกังวล อ่านแล้วสามารถเข้าใจกลไกการทำงานของมัน และก็มีเทคนิคการจัดการกับความเครียดแบบง่ายๆสามารถทดลองทำได้โดยใช้เวลาไม่นาน เหมาะกับการเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
www.batorastore.com © 2024